“ดราม่าโบนัสไดกิ้น” : เมื่อธรรมเนียมจ่ายโบนัสกลายเป็นข้อพิพาทแรงงาน
ช่วงปลายปี 2568 กรณีพนักงานบริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด (DAIKIN INDUSTRIES (THAILAND) COMPANY LIMITED) ที่นิคมอมตะนคร จังหวัดชลบุรี รวมตัวกันเรียกร้องให้นายจ้างทบทวนการจ่ายโบนัส กลายเป็นข่าวใหญ่ในสังคมไทย
ใจกลางของข้อพิพาทคือ
-
ฝั่งบริษัทเสนอ โบนัส 5 เดือน + เงินพิเศษ 12,000 บาท
(และตามข่าวมีการปรับข้อเสนอเป็น โบนัส 6 เดือน + เงินพิเศษ 12,000 บาท พร้อมเงิน 40,000 บาทแทนทองคำ 3 บาท สำหรับพนักงานที่มีอายุงานครบ 10 ปี และไม่มีการลานอกจากการลาพักร้อน) -
ขณะที่ฝ่ายลูกจ้าง (ผ่านสหภาพแรงงาน) ยืนยันว่า ข้อเรียกร้องที่แท้จริงคือ
โบนัส 8 เดือน + เงินพิเศษ 24,000 บาท ไม่ใช่ 11 หรือ 18 เดือนตามข่าวลือ
พร้อมขอให้คง ธรรมเนียมมอบทองคำ 3 บาท + เงินสด ให้กับพนักงานที่ทำงานยาวและมีประวัติการทำงานดี ตามวัฒนธรรมองค์กรที่มีมากว่า 30 ปี (อ้างอิงจากรายงานข่าว MGR Online)
สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ “ร้อนแรง” เป็นพิเศษ คือมุมมองที่แตกต่างกันของสังคมและคู่กรณี
- ในสายตาคนทั่วไป หลายคนมองว่า ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ แค่มีโบนัสให้ก็น่าจะ “น่าพอใจ” แล้ว
- แต่ในมุมลูกจ้าง เขามองจากทั้ง ผลประกอบการบริษัทที่มีกำไรสูง และจาก ข้อตกลงเชิงปฏิบัติที่เคยทำต่อเนื่องในอดีต
กรณีนี้จึงเป็นตัวอย่างชัดเจนของความตึงเครียดระหว่าง
“มุมมองของนายจ้างที่มองโบนัสเป็นผลตอบแทนพิเศษ ไม่ใช่สิทธิที่กฎหมายบังคับ”
กับ
“มุมมองของลูกจ้างที่เห็นว่าโบนัสและทอง 3 บาท กลายเป็น ‘ธรรมเนียม’ และ ‘สิ่งที่เคยทำมาก่อน’ ที่ควรยึดถือ”
จากเหตุการณ์นี้ เราลองมาดูทั้งกรอบกฎหมายแรงงานไทย และบทเรียนสำคัญจากมุมมองนายจ้างกันครับ
1. สถานะของ “เงินโบนัส” ตามกฎหมายไทย
1.1 กฎหมายไม่ได้บังคับให้นายจ้างต้องมีโบนัส
ภายใต้ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ไม่มีบทบัญญัติข้อใด “บังคับ” ให้นายจ้างต้องจ่ายโบนัสประจำปีให้ลูกจ้าง
ดังนั้น ในเชิงหลักการ หากองค์กร ไม่เคยกำหนด เรื่องโบนัสไว้ในสัญญาจ้าง / ข้อบังคับ / ข้อตกลงใด ๆ
นายจ้างจะ “ให้หรือไม่ให้โบนัส” ก็ ไม่ถือว่าผิดกฎหมายแรงงาน
กล่าวโดยสรุป เงินโบนัสตามกฎหมายไทยจึงถือเป็น
“ผลตอบแทนเพิ่มเติม” ที่นายจ้างสมัครใจจ่าย
กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ต้องมีโบนัส แต่ ถ้านายจ้างกำหนดเงื่อนไขไว้แล้ว ก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้นเอง
แนวทางนี้ได้รับการยืนยันโดย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4573/2544 ซึ่งวางหลักว่า
“เงินโบนัสเป็นเพียงรางวัลตอบแทนการปฏิบัติงาน มิใช่ค่าจ้างตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541”
เมื่อนำมาถอดความ จะได้ใจความสำคัญว่า
- โบนัสไม่ใช่ “ค่าจ้าง” ในความหมายของ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
- การไม่จ่ายโบนัส ไม่ถือเป็นการจงใจไม่จ่ายค่าจ้าง
- แต่หากมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง หรือมีสัญญาจ้าง ระบุให้จ่ายโบนัสตามหลักเกณฑ์ใด ๆ นายจ้างย่อมมี “หน้าที่ทางสัญญา” ที่ต้องจ่ายโบนัสตามเงื่อนไขนั้น
ดังนั้น แม้กฎหมายจะไม่ได้ “บังคับให้ต้องมีโบนัส” แต่ “คำพูด / เอกสาร / ข้อตกลง / ธรรมเนียมที่ชัดเจนและต่อเนื่อง” สามารถทำให้โบนัสกลายเป็น “สภาพการจ้าง” ที่ผูกมัดนายจ้างได้
1.2 ธรรมเนียมจ่ายโบนัส / ทอง 3 บาท
สำหรับกรณีโรงงานไดกิ้น มีหลายประเด็นที่น่าสนใจในเชิงกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ เช่น
- การจ่ายโบนัสในอดีตอยู่ในระดับสูงค่อนข้างสม่ำเสมอ (เช่น 7 – 7.5 เดือน + เงินก้อน)
- การให้ทอง 3 บาท + เงินสดแก่พนักงานที่ทำงานครบตามเกณฑ์ ถูกอ้างว่าเป็น “ธรรมเนียมองค์กรกว่า 30 ปี” และอยู่ใน “สัญญาจ้างรุ่นเก่า”
หากในทางข้อเท็จจริงพิสูจน์ได้ว่า
- มีการกำหนดสิทธิเหล่านี้ไว้ใน สัญญาจ้าง / ข้อบังคับการทำงาน / ข้อตกลงสภาพการจ้าง หรือ
- มีการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง และมีเกณฑ์ชัดเจนที่พนักงานรับรู้โดยทั่วไป
สิทธิในโบนัสระดับหนึ่ง หรือสิทธิได้ทอง 3 บาท อาจถูกตีความว่าเป็น “สภาพการจ้าง” ซึ่งนายจ้าง ไม่ควรลดลงโดยพลการ
หากต้องการปรับลด จึงควรเข้าสู่กระบวนการเจรจาตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ฯ ไม่เช่นนั้นอาจกลายเป็นข้อพิพาทแรงงาน หรือถูกกล่าวหาว่าเป็น “การกระทำอันไม่เป็นธรรม” ได้
2. การหยุดงานเรียกร้อง ผิดข้อบังคับการทำงานไหม? นายจ้างเลิกจ้างได้หรือไม่?
คำถามยอดฮิตของนายจ้างคือ
“ลูกจ้างหยุดงานประท้วงขอโบนัส ถือว่าผิดวินัยไหม? ไล่ออกได้หรือเปล่า?”
คำตอบจริง ๆ ต้องแบ่งพิจารณา 2 ชั้นใหญ่ ๆ ดังนี้
2.1 แยกก่อนว่าเป็น “การนัดหยุดงานตามกฎหมาย” หรือ “การขาดงานโดยพลการ”
กฎหมายที่เกี่ยวข้องคือ พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 หมวด 3 ว่าด้วย การปิดงานและการนัดหยุดงาน (มาตรา 34–36)
การนัดหยุดงานที่ “ชอบด้วยกฎหมาย” (Lawful Strike) จะต้องมีเงื่อนไขสำคัญ เช่น
- มีการยื่นข้อเรียกร้องตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ฯ (มาตรา 13 เป็นต้นไป)
- คู่กรณีเจรจาแล้ว ตกลงกันไม่ได้ จึงถือว่าเป็น “ข้อพิพาทแรงงาน”
- ลูกจ้างหรือสหภาพแรงงานซึ่งเป็นฝ่ายยื่นข้อเรียกร้อง ต้องแจ้ง “การนัดหยุดงาน” เป็นหนังสือ ให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานและนายจ้างทราบ ล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ตามมาตรา 34 วรรคท้าย
หากดำเนินการครบตามขั้นตอนดังกล่าว การนัดหยุดงานถือเป็น “การใช้สิทธิทางกฎหมาย” ไม่ใช่ “ละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุ” แบบการขาดงานทั่วไป
ในทางกลับกัน หากลูกจ้าง
- หยุดงานโดยไม่ได้ยื่นข้อเรียกร้องตามกฎหมาย
- ไม่แจ้งล่วงหน้า 24 ชั่วโมง
- หรือกระทำเกินเลย เช่น ใช้ความรุนแรง ปิดล้อม ขัดขวางการเข้าออก ฯลฯ
กรณีเช่นนี้อาจถูกตีความว่าเป็น การกระทำผิดวินัย / ละทิ้งงาน ซึ่งเปิดโอกาสให้นายจ้างลงโทษทางวินัยหรือเลิกจ้างได้
แต่ถึงอย่างนั้น การลงโทษก็ยังต้องผ่านเกณฑ์สำคัญคือ “ความเป็นธรรมในการเลิกจ้าง” ตามแนวคำพิพากษาศาลแรงงานและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
2.2 นายจ้างเลิกจ้างได้ไหม?
โดยสรุปสามารถแบ่งเป็น 2 กรณีใหญ่ ๆ
-
กรณีเป็นการนัดหยุดงานตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์
นายจ้าง ไม่ควรเลิกจ้าง ลูกจ้างเพียงเพราะใช้สิทธิหยุดงาน หากเลิกจ้างด้วยเหตุนี้ อาจเข้าข่าย “การกระทำอันไม่เป็นธรรม” ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ฯ และเสี่ยงถูกสั่งให้รับกลับเข้าทำงาน หรือชดใช้ค่าเสียหายเพิ่มเติม -
กรณีเป็นการหยุดงาน/ประท้วงที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย
ศาลแรงงานจะพิจารณาพฤติการณ์ทั้งหมด เช่น มีการใช้ความรุนแรงหรือไม่ ขัดขวางการทำงานของผู้อื่นหรือไม่ นายจ้างได้มีการเตือน เจรจา หรือเปิดช่องทางแก้ไขปัญหาหรือไม่ หากนายจ้างรีบเลิกจ้างทันทีโดยไม่ชั่งน้ำหนักความเหมาะสม ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะถูกฟ้องว่าเป็น การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม อยู่ดี
สรุปสั้น ๆ
การเลิกจ้างเพราะลูกจ้างหยุดงานเรียกร้อง เป็น “พื้นที่สีเทา” ทางกฎหมาย หากไม่แน่ใจว่าเป็นการนัดหยุดงานตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ฯ หรือเป็นเพียงการหยุดงานผิดวินัยธรรมดา นายจ้างควรขอคำปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ/ทนายความแรงงานก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
3. ถ้าลูกจ้างเป็น “สมาชิกสหภาพแรงงาน” ภาพจะเปลี่ยนอย่างไร?
ในกรณีของโรงงานไดกิ้น มี สหภาพแรงงานบริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ทำหน้าที่เป็นตัวแทนลูกจ้างในการยื่นข้อเรียกร้องและเจรจากับนายจ้าง สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า โครงสร้างความสัมพันธ์แรงงานในองค์กรอยู่บนฐานของ “แรงงานสัมพันธ์แบบมีสหภาพฯ” อย่างชัดเจน
3.1 กฎหมายคุ้มครอง “กิจกรรมสหภาพแรงงาน”
ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 หมวด 9 ว่าด้วย “การกระทำอันไม่เป็นธรรม”
ห้ามนายจ้างเลิกจ้าง ข่มขู่ หรือกลั่นแกล้งลูกจ้าง เพียงเพราะลูกจ้าง
- เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน
- เป็นกรรมการสหภาพแรงงาน
- เป็นผู้ยื่นข้อเรียกร้อง
- หรือเป็นพยานในคดีแรงงาน
หากนายจ้างเลิกจ้างด้วยเหตุเหล่านี้ ลูกจ้างหรือสหภาพฯ สามารถร้องต่อ คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ได้
ดังนั้น หากมีกรณีเลิกจ้างหลังจากลูกจ้างเข้าร่วมการเคลื่อนไหวเรียกร้องที่สหภาพฯ เป็นผู้นำ และพยานหลักฐานชี้ว่าเจตนาที่แท้จริงของนายจ้างคือ “จัดการตัวแทนแรงงาน” นายจ้างก็มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกชี้ว่าเป็น การกระทำอันไม่เป็นธรรม
3.2 แต่สหภาพฯ ไม่ใช่เกราะป้องกันทุกกรณี
อย่างไรก็ดี กฎหมายไม่ได้ให้ “ภูมิคุ้มกันเต็มรูปแบบ” กับสมาชิกสหภาพแรงงาน
หากกรรมการสหภาพฯ หรือสมาชิก
- ทุจริต
- จงใจทำให้นายจ้างเสียหายร้ายแรง
- ใช้ความรุนแรง
- หรือหยุดงานโดยชัดแจ้งว่าผิดกฎหมาย
นายจ้างก็ยังสามารถเลิกจ้างได้ เพียงแต่ในบางกรณี เช่น กรรมการสหภาพแรงงาน อาจต้องมีกระบวนการที่ “เข้ม” เป็นพิเศษ หรือมีภาระการพิสูจน์มากขึ้นว่า การเลิกจ้างเกิดจาก “เหตุความผิดจริง ๆ” ไม่ใช่การกลั่นแกล้งจากการทำงานของสหภาพฯ
Key point
การเป็นสมาชิกสหภาพฯ ทำให้ “ความเสี่ยงทางกฎหมาย” ของนายจ้างสูงขึ้น หากจะเลิกจ้างจากเหตุการเคลื่อนไหวเรียกร้อง แต่ไม่ได้หมายความว่า “ทำผิดอย่างไรก็เลิกจ้างไม่ได้”
4. มองจากมุมนายจ้าง: การเรียกร้อง 8 เดือน + 24,000 + ทอง 3 บาท “เป็นธรรม” หรือไม่?
คำว่า “เป็นธรรม” ในโลกแรงงาน อาจมองได้อย่างน้อย 3 มิติ
4.1 ในเชิงกฎหมายแคบ ๆ
- กฎหมาย ไม่ได้บังคับ ให้จ่ายโบนัส 8 เดือน
- สิทธิเรียกร้อง “ทอง 3 บาท” ต้องพิจารณาว่า
- มีระบุไว้ในสัญญาจ้าง / ข้อตกลงสภาพการจ้างหรือไม่
- มีการปฏิบัติสม่ำเสมอชัดเจนยาวนานเพียงใด
หากเอกสารระบุเพียงว่า “นายจ้างจะพิจารณาจ่ายโบนัสตามดุลพินิจ” และทอง 3 บาทถูกใช้ในฐานะ “ธรรมเนียมโดยสมัครใจ” ไม่ได้ถูกกำหนดเป็นสิทธิที่ตายตัว ฝ่ายนายจ้างก็ย่อมมีพื้นที่มากกว่าในการ “เพิ่ม–ลด” ตามผลประกอบการ
แต่ถ้ามีเอกสารหรือข้อเท็จจริงบ่งชี้ว่า ระบบโบนัส/ทอง ถูกกำหนดเป็นเกณฑ์แน่นอน และจ่ายต่อเนื่องยาวนาน การปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อาจถูกมองว่าเป็น “การเปลี่ยนสภาพการจ้างฝ่ายเดียว” ซึ่งตามหลักควรต้องเข้าสู่กระบวนการเจรจาต่อรอง
4.2 ในเชิง “สัญญาทางใจ” และความคาดหวัง
ในมุม HR และการบริหารคน ต้องยอมรับว่า
- พนักงานในโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมาก วางแผนชีวิตทั้งปี บนสมมติฐานว่า “โบนัสจะใกล้เคียงปีก่อน”
- เมื่อบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้น แต่โบนัสกลับถูก “ลดลง” อย่างมีนัยสำคัญ ความรู้สึก “ไม่แฟร์” จึงเกิดขึ้นได้ง่าย
ดังนั้น แม้ในเชิงข้อกฎหมาย นายจ้างอาจมีสิทธิกว้างขวางในการกำหนดโบนัส แต่ในเชิงความสัมพันธ์แรงงาน การ “ลดลงแรง ๆ” โดยขาดการสื่อสารสร้างความเข้าใจ ก็แทบจะการันตีว่า ข้อพิพาทต้องเกิดขึ้น
4.3 ในเชิงกลยุทธ์ธุรกิจและภาพลักษณ์แรงงาน
กรณีไดกิ้นถูกจับตาทั้งในวงการแรงงานและสังคมกว้าง เพราะก่อนหน้านี้เคยมีดราม่า “เรียกร้องโบนัส 18 เดือน + 200,000 บาท” กระจายเต็มโซเชียล ก่อนที่สหภาพฯ จะออกมาชี้แจงว่าเป็นเฟกนิวส์ และข้อเรียกร้องจริงคือ 8 เดือน + 24,000 บาท
จากมุมมองของนายจ้าง การปล่อยให้ “ข้อมูลไม่ครบ / ข่าวลือ” วิ่งนำหน้า ย่อมส่งผลต่อ
- ภาพลักษณ์บริษัท
- แบรนด์นายจ้าง (employer brand)
- ความเชื่อมั่นของสังคมต่อวัฒนธรรมองค์กร
ท้ายที่สุด จะมองว่าลูกจ้าง “เรียกร้องเกินไป” หรือมองว่านายจ้าง “ใจร้ายเกินไป” ก็ขึ้นกับว่า
“ใครเล่าเรื่องได้ชัดกว่า และเข้าถึงผู้คนมากกว่า”
ดังนั้น คำถามเรื่อง “เป็นธรรมหรือไม่” จึงไม่ใช่เพียงคำถามทางกฎหมายเท่านั้น แต่เป็นคำถามเชิง กลยุทธ์ HR & PR ไปพร้อมกันด้วย
5. Key Takeaways สำหรับนายจ้างจากกรณีไดกิ้น
ลองสรุปเป็น “Checklist ฝั่งนายจ้าง” ที่นำไปใช้ได้จริง ดังนี้
5.1 จัดหมวดโบนัสให้ชัด: “สิทธิ” vs “ดุลพินิจ”
- เขียนให้ชัดใน สัญญาจ้าง / ข้อบังคับ / ระเบียบ ว่า
- โบนัสเป็น “สิทธิแน่นอน” ตามสูตร หรือ
- เป็นสิทธิที่ “นายจ้างพิจารณาตามดุลพินิจจากผลประกอบการ”
- หากเป็นโบนัสแบบ “ตามสูตรตายตัว” และจ่ายต่อเนื่องทุกปี ต้องตระหนักว่า มีโอกาสสูงที่จะถูกตีความเป็น “สภาพการจ้าง” ในอนาคต
5.2 ธรรมเนียมยาวนาน = ระเบียบแฝง
- สิทธิอย่าง “ทอง 3 บาทหลังทำงานครบ 10 ปี” หรือสวัสดิการที่มีต่อเนื่อง 20–30 ปี แม้ไม่เคยเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ก็อาจถูกมองย้อนหลังว่าเป็น “สัญญาจ้างรุ่นเก่า” หรือ “สภาพการจ้าง” ได้
- หากจำเป็นต้องปรับลด ควร
- เตรียมข้อมูลผลประกอบการ / ภาระต้นทุน
- พิจารณามาตรการ “ค่อยเป็นค่อยไป”
- เปิดโต๊ะเจรจากับตัวแทนแรงงานหรือสหภาพฯ อย่างเป็นระบบ
5.3 เข้าใจ “เกมกฎหมายแรงงานสัมพันธ์”
- หากกิจการมีโอกาสจะเข้าสู่สถานการณ์ “ยื่นข้อเรียกร้อง” HR และฝ่ายบริหารควรเข้าใจกระบวนการตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ฯ อย่างน้อยในระดับ
- ขั้นตอนการยื่นข้อเรียกร้อง
- ขั้นตอนการเกิดข้อพิพาทแรงงาน
- เงื่อนไขการนัดหยุดงาน/ปิดงานที่ชอบด้วยกฎหมาย (เช่น การแจ้งล่วงหน้า 24 ชั่วโมง)
- เพื่อให้ประเมินได้ว่า เหตุการณ์ที่เผชิญอยู่เป็น “การใช้สิทธิทางกฎหมาย” หรือ “การผิดวินัยแรงงาน”
5.4 ระวัง “การกระทำอันไม่เป็นธรรม” โดยไม่รู้ตัว
- การเลื่อนตำแหน่ง ปรับเงิน ลงโทษ หรือเลิกจ้างพนักงานที่เกี่ยวข้องกับสหภาพฯ โดยไม่มีเหตุผลและหลักฐานที่เป็นกลางรองรับ อาจถูกตีความได้ง่ายว่าเป็นการกลั่นแกล้ง
- ทุกการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับ
- กรรมการสหภาพแรงงาน
- ผู้ริเริ่มยื่นข้อเรียกร้อง
- หรือผู้มีบทบาทในกระบวนการเจรจา
5.5 สื่อสารเชิงรุก แทนที่จะรอให้ดราม่าปะทุ
- ก่อนประกาศโบนัสหรือปรับสวัสดิการที่ “ลดลง”
- ควรเตรียม “เหตุผล + ข้อมูล” ในรูปแบบที่พนักงานเข้าใจง่าย
- สื่อสารผ่านหลายช่องทาง (ประชุม, FAQ, อินโฟกราฟิกภายใน ฯลฯ)
- หากประเมินแล้วว่ามีความเสี่ยงเรื่องข่าวลือ หรือการบิดเบือนตัวเลข
- นายจ้างควรเตรียม statement ทั้งสำหรับภายในและภายนอกองค์กร ไว้ล่วงหน้า